ประวัตินักฟุตบอล คริสเตียโน โรนัลโด้ ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก
ประวัตินักฟุตบอล คริสเตียโน โรนัลโด้ หรือจะเรียกชื่อเต็มได้ว่า Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1985 ปัจจุบันนี้อายุ 37 ปี ส่วนสูง 187 เซนติเมตร เกิดที่ประเทศโปรตุเกส เป็นนักฟุตบอลที่มีความสามารถQ ในตอนนี้ทำให้ได้รับตำแหน่งเล่นกองหน้า

ได้รับรางวัลบาลงดอร์ทั้งหมด 5 สมัยติดต่อกัน และไม่พอเท่านั้นยังได้รางวัลรองเท้าทองตำยุโรปด้วย ได้ถึง 4 สมัย ล้วนแล้วเป็นสถิติที่สูงสุด จนทำให้เป็นผู้ถือครองสถิตินี้ในยุโรป รวมไปถึงได้เป็นผู้เข้าเล่น แล้วได้ทำประตูรวมทั้งสโมสรกับทีมชาติได้ดีมาก สถิติตอนนี้อยู่ที่ 800 กว่าประตูแล้ว เป็นผู้ที่ลงเล่นในสนามมากถึง 181 นัด สามารถที่จะทำประตูได้มากสุด และที่สำคัญคือการทำแอสซิสต์ได้มากสุดอีกเช่นกัน ล้วนแล้วเป็นที่สุดของเรื่องต่างๆในฟุตบอล

ประวัติความเป็นมา จุดเริ่มต้นของ โรนัลโด้
โรนัลโด้ เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลด้วยการเข้าทีมเยาวชนของ Andorinha ตอนอายุ 6 ขวบ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ Nacional ในอีก 2 ปีต่อมา และฉายแววโดดเด่นจนได้เข้าสู่อคาเดมีของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน สโมสรยักษ์ใหญ่ของโปรตุเกส ในวัย 12 ปี ในทีมอคาเดมี่ โรนัลโด้ พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น กระทั่งถูกดันขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ของสปอร์ติ้ง ลิสบอน และลงประเดิมสนามในลีกโปรตุเกสนัดแรก ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้นในฤดูกาล 2002-2003 และเจ้าหนูโรนัลโด้ก็ไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอย โดยทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับโอกาสลงสนามถึง 31 นัดในทุกรายการ ยิงได้ 5 ประตู ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับแข้งดาวรุ่งวัย 17 ย่าง 18 ปีเท่านั้น พร้อมกับตกเป็นเป้าหมายที่สโมสรดังทั่วยุโรปเริ่มให้ความสนใจ

หลังจากนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเกมอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2003 ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปเยือน สปอร์ติ้ง ลิสบอน และเกมจบลงด้วยชัยชนะของ ลิสบอน 3-1 พร้อมกับฟอร์มสุดโหดของ โรนัลโด้ ซึ่งเล่นงานเกมรับของทีมผีแดงจนปั่นป่วนตลอดทั้งเกม ถึงขั้นที่บรรดานักเตะต้องไปบอกกุนซือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้รีบไปกระชากตัวเจ้าดาวรุ่งฝอยทองคนนี้มาร่วมทีมโดยด่วน

ยุคแจ้งเกิด คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ในช่วงแรกบนลีกเมืองผู้ดี โรนัลโด้ ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับสไตล์การเล่นที่มัก “ฉายเดี่ยว” ตะบี้ตะบันเลี้ยงมากจนเกินไป รวมถึงการสับขาหลอกคู่แข่งที่ถูกนำมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ โดยปีแรกกับแมนฯ ยูไนเต็ด ในซีซั่น 2003-04 เจ้าโด้เปรี้ยงปร้างมากนัก ซัดไป 6 ลูกจากการลงเล่น 40 นัดในทุกรายการ แต่หลังจากนั้น โรนัลโด้ค่อยๆ ปรับสไตล์การเล่นเพื่อทีมมากขึ้น ตลอดจนสภาพร่างกายและฝีเท้าที่แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ทำให้โรนัลโด้ก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดนักเตะพรีเมียร์ลีกแบบไร้ข้อกังขา ด้วยผลงานพาแมนฯ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อน ในฤดูกาล 2006-07, 2007-08 และ 2008-09 รวมถึงแชมป์อื่นๆ และเกียรติยศส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะในปี 2008 ซึ่งโรนัลโด้กวาดทั้งรางวัล บัลลงดอร์ และผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่ามาครองได้แบบสุดยอด

ย้ายไปค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด
หลังจากตัดสินใจยุติเส้นทาง 6 ปีกับแมนฯ ยูไนเต็ด โรนัลโด้ย้ายมายัง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน ในฤดูกาล 2009-10 ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดของโลกในขณะนั้น และในการเปิดตัว โรนัลโด้ กับ มาดริด ปรากฏว่ามีแฟนบอลเข้ามาเป็นสักขีพยานที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ถึง 80,000 คนเลยทีเดียว
สำหรับการย้ายมายัง เรอัล มาดริด ซึ่งเต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคับทีม ยิ่งทำให้ โรนัลโด้ ยกระดับฝีเท้าและผลงานได้สุดยอดมากขึ้นไปอีก พร้อมกับกวาดทุกแชมป์ ทุกรางวัล ทุบสถิติต่างๆ ลงได้เป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าเป็นจุดพีกของดาวยิงทีมชาติโปรตุเกสรายนี้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ โรนัลโด้ ค้าแข้งกับมาดริด 9 ฤดูกาล และมีสถิติถล่มประตูให้กับทีมอย่างเป็นกอบเป็นกำ ด้วยผลงานลงสนามไปทั้งสิ้น 438 นัดในทุกรายการ ทะลวงตาข่ายคู่แข่งไปถึง 450 ลูก เฉลี่ยแล้ว โรนัลโด้ ต้องมียิงได้ 1 ประตูในการลงสนามทุกนัด

ย้ายไปค้าแข้งที่ ยูเวนตุส
ส่วนเรื่องถ้วยแชมป์ โรนัลโด้คว้าโทรฟี่สำคัญกับเรอัล มาดริดทั้งแชมป์ลาลีกา 2 สมัย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 4 สมัย ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 3 สมัย และรางวัลบัลลงดอร์อีก 4 สมัย แต่หลังจากจบซีซั่น 2017-18 ก็ถึงเวลาที่ โรนัลโด้ ต้องเปลี่ยนสีเสื้ออีกครั้ง หลังจากไม่สามารถเจรจาเรื่องสัญญาฉบับใหม่กับมาดริดได้ลงตัว โดยเป็น “ม้าลาย” ยูเวนตุส มหาอำนาจแห่งศึกเซเรียอา อิตาลี ที่ยอมทุ่มเงิน 112 ล้านยูโร กระชากตัว โรนัลโด้ ในวัย 33 ปี ไปร่วมทีม พร้อมกับทำสถิตินักเตะอายุเกิน 30 ปีที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก

ในการย้ายมาสวมยูนิฟอร์ม “ม้าลาย” ลุยศึกเซเรียอา อิตาลี โรนัลโด้ก็ยังคงทำหน้าเป็นเครื่องจักรสังหารประตูได้อย่างอันตรายเช่นเดิม และช่วยพาทีมคว้าแชมป์เซเรียอา 2 สมัยติดต่อกันในซีซั่น 2018-19 และ 2019-20 บวกกับแชมป์โคปปา อิตาเลีย 2020-21 อีกหนึ่งถ้วย
นอกจากนี้ ในซีซั่น 2020-2021 โรนัลโด้ ครองดาวซัลโวเซเรียอา ด้วยผลงานซัดไป 29 ประตู ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกที่ครองตำแหน่งดาวซัลโว 3 ลีกใหญ่ของยุโรป ทั้งเซเรียอา อิตาลี, ลาลีกา สเปน และ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ต่อมาในช่วงซัมเมอร์ 2021 โรนัลโด้ ต้องการที่จะย้ายออกจากยูเวนตุส พร้อมกับมีข่าวหนาหูว่า “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เดินหน้าลุยเต็มที่ และกำลังจะได้ตัว โรนัลโด้ กลับมาลุยศึกพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง แต่สุดท้ายการเจรจาก็ไม่สามารถได้ข้อสรุป และเป็น “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กระโดดเข้ามาเสียบแทน พร้อมกับปิดดีลลงได้อย่างรวดเร็ว ชนิดที่แฟนบอลเรดอาร์มี่หลายคนยังแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ย้ายกลับมาค้าแข้ง ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
27 สิงหาคม 2021 คือวันที่แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศบรรลุข้อตกลงทุกอย่างเรียบร้อย และต่อมา 31 สิงหาคม 2021 คือวันที่ทีมปีศาจแดงประกาศเปิดตัว โรนัลโด้ คัมแบ็กสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดอย่างเป็นทางการ ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร บวกกับแอดออนอีก 8 ล้านยูโร ภายใต้สัญญา 2 ปี พร้อมมีออปชั่นขยายสัญญาออกไปได้อีกหนึ่งปี
นอกจากนี้ โรนัลโด้ ในวัย 36 กะรัต จะได้กลับมาสืบตำนาน CR7 สวมเสื้อหมายเลข 7 ให้แฟนผีแดงปลาบปลื้มกันอีกครั้ง หลังจากเจ้าของเสื้อเบอร์ 7 คนล่าสุดอย่าง เอดินสัน คาวานี่ เปลี่ยนไปใส่หมายเลข 21 แทน แดเนียล เจมส์ ที่่ย้ายไปยัง ลีดส์ ยูไนเต็ด

และนี่คือความรู้สึกของ โรนัลโด้ ซึ่งบรรยายผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว สำหรับการคัมแบ็กสู่ทีมปีศาจแดงอีกครั้ง
“ผมไม่สามารถเริ่มต้นอธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้เลย หลังจากผมได้เห็นเรื่องการย้ายกลับโอลด์ แทรฟฟอร์ด ถูกประกาศออกไปทั่วโลก มันเหมือนฝันที่เป็นจริง ทุกครั้งที่ผมกลับไปเล่นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แม้กระทั่งในฐานะคู่แข่ง ผมก็ยังรู้สึกถึงความรัก และความเคารพจากแฟนบอลบนอัฒจันทร์เสมอ”
“แชมป์ลีกครั้งแรก, แชมป์ฟุตบอลถ้วยครั้งแรก, ถูกเรียกติดทีมชาติโปรตุเกสครั้งแรก, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรก, คว้ารองเท้าทองคำครั้งแรก และคว้าบัลลงดอร์ครั้งแรกของผม ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์สุดพิเศษระหว่างผมกับ เร้ด เดวิลส์ ประวัติศาสตร์เหล่านั้นเคยถูกเขียนขึ้นในอดีต และประวัติศาสตร์จะถูกเขียนขึ้นอีกครั้ง! ผมสัญญา!”