ทีมเต็งแชมป์ฟุตบอลโลก 2022
ทีมเต็งแชมป์ฟุตบอลโลก 2022
เวลานี้การแข่งขันศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ก็ได้ดำเนินมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้ว นับตั้งแต่เริ่มฟาดแข้งอย่างเป็นทางการ และหลังจากผลการแข่งขันและผลงานในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้รู้ว่าบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ทำผลงานได้ดีขนาดไหน หรือพลาดท่ากระเด็นตกรอบอย่างน่าใจหายแบบ เยอรมนี เบลเยียม อุรุกวัย หรือแม้กระทั่ง เดนมาร์ก ที่ทำผลงานได้แย่อย่างน่าใจหาย และในรอบต่อไปทีมเต็งที่ยังเหลือรอดอยู่จะต้องเจองานหนักงานเบาแค่ไหนใครอยู่ร่วมสายกับใครบ้าง

1.ทีมชาติเนเธอร์แลนด์
ทัพอัศวินสีส้ม ที่ห่างหายจากการแข่งขันรายการนี้มาเมื่อปี 2018 เป็นอีกหนึ่งสุดยอดทีมที่เคยเข้าชิงชนะเลิศบอลโลกมาแล้วถึง 3 สมัย แต่โชคร้ายยังไม่เคยสมหวังแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทีมชุดนี้เป็นทีมที่ผสมผสานดาวรุ่งและแข้งตัวเก๋าอย่างลงตัว แถมยังมี หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือจอมปรัชญาเป็นผู้นำทีมที่สำคัญ พาเนเธอร์แลนด์ ไม่แพ้ใครมา 19 นัดติดต่อกัน รอบแบ่งกลุ่มก็งานสบายเข้ารอบต่อไปด้วยตำแหน่งแชมป์กลุ่ม A ได้ตามเป้าเอาชนะทีมอย่าง เจ้าภาพ กาตาร์ และ เซเนกัล และเสมอกับ เอกวาดอร์ โดยในรอบต่อไปต้องพบกับรองแชมป์กลุ่ม B อย่าง สหรัฐอเมริกา

2.ทีมชาติโปรตุเกส
ทัพฝอยทอง ชุดนี้ถูกมองว่าเป็นชุดที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีเลยก็ว่าได้มียอดขุนพลอย่างโครตแข้งแห่งยุคที่กำลังโรยราอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่น่าจะเป็นทัวร์นาเมนต์รายการสุดท้ายของเขาแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมี บรูโน่ แฟร์นานเดส, แบร์นาโด้ ซิลวา, เจา เฟลิกซ์ และราฟาเอล เลเอา สำหรับโปรตุเกสอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้หนักมากนัก สามารถเอาชนะทีมอย่าง กาน่า และ อุรุกวัย แม้จะพลาดท่าแพ้ เกาหลีใต้ ในนัดสุดท้ายแต่ก็ยังเข้ารอบต่อไปในฐานะตำแหน่งแชมป์กลุ่ม H ไปพบกับรองแชมป์กลุ่ม G เพื่อนร่วมทวีปอย่าง สวิซเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ไม่ใช่งานง่ายแต่ก็ไม่ถึงกับยากเมื่อเทียบกับชาติอื่นในสายเดียวกัน

3.ทีมชาติอาร์เจนติน่า
ทัพฟ้าขาว เจ้าของตำแหน่งเจ้าแห่งทวีปอเมริกาใต้ อย่าง แชมป์โคปา อเมริกา สมัยล่าสุด และอดีตรองแชมป์โลกปี 2014 โดยปราชัยให้แก่ ทัพอินทรีเหล็ก เยอรมนี ในนัดชิงชนะเลิศ สิ่งที่น่าจับตามองก็คือนี่อาจเป็นการเล่นทัวร์นาเมนต์ระดับชาติครั้งสุดท้ายของ ลิโอเนล เมสซี่ อีกหนึ่งโครตแข้งที่ดีที่สุดตลอดกาลก็เป็นได้ อาร์เจนติน่า แม้จะประเดิมสนามไม่สวยนักด้วยการพลาดท่าแพ้ต่อทีมจากเอเชียอย่าง ซาอุดิอาระเบีย แต่หลังจากนั้นก็เก็บชัยชนะแบบเรียบอาวุธจากทั้ง โปแลนด์ และ เม็กซิโก เข้ารอบต่อไปในฐานะตำแหน่งแชมป์กลุ่ม C ไปพบกับรองแชมป์กลุ่ม D อย่าง ออสเตรเลีย

4.ทีมชาติสเปน
ทัพกระทิงดุ อดีตแชมป์โลกปี 2010 ที่ แอฟริกาใต้ ซึ่งผลงานระยะหลังมาตรฐานดูตกลงไปพอสมควรหลังจากการตกรอบแบ่งกลุ่มเมื่อปี 2014 ก็ได้มีการอำลาทีมของซูเปอร์สตาร์อย่าง อันเดรส อิเนียสต้า, ชาบี เอร์นานเดส, เชส ฟาเบรกาส, เฟร์นานโด ตอร์เรส, ดาบิด บีญ่า และ ชาบี อลอนโซ่ อย่างไรก็ตามสเปนยุคใหม่มีดาวรุ่งฝีเท้าดีที่รอวันฉายแสงทั้ง เปดรี้ และ กาบี้ สองเด็กปั้นจาก บาร์เซโลน่า นอกจากนั้นก็ยังมีแข้งเลือดใหม่อย่าง ดานี่ โอลโม่ จาก อาร์เบ ไลป์ซิก หรือแข้งเก๋าตั้งแต่ชุด ติกิ ตาก้า ครองโลกอย่าง เซร์คิโอ บุสเกส โดยรอบแบ่งกลุ่ม สเปน สามารถเอาชนะ คอสตาริก้า สกอร์ขาดลอยถึง 7-0 จากนั้นก็เจ๊ากับ เยอรมนี 1-1 และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อ ขุนพล ซามูไรสีน้ำเงิน อย่าง ญี่ปุ่น แบบช็อคโลก โดยเกมนัดสุดท้ายหาก คอสตาริก้า ชนะ เยอรมนี ได้ สเปน ถึงกับตกรอบได้เลยทีเดียว

5.ทีมชาติอังกฤษ
ทัพสิงโตคำราม หนึ่งในทีมขวัญใจมหาชนที่ถูกตั้งความหวังไว้สูงทุกครั้งและดูเหมือนว่าครั้งนี้จะใกล้เคียงที่สุดหลังจากเพิ่งจะผิดหวังชวดคว้าแชมป์ยูโร 2020 มาครองด้วยการแพ้การดวลจุดโทษต่อ ทัพอัซซูรี่ อิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ และฟุตบอลโลกครั้งที่แล้วก็ทะลุเข้าไปถึงรอบตัดเชือกมาแล้วถือเป็นยุคที่มีผลงานดีสุดในรอบหลายทศวรรษ โดยในรอบแบ่งกลุ่ม อังกฤษ ไล่ถล่ม อิหร่าน ด้วยสกอร์ 6-2 เสมอ สหรัฐอเมริกา 1-1 และปิดท้ายด้วยการถล่ม เวลส์ ของ แกเร็ธ เบล ชาติร่วมเครือจักรภพ ด้วยสกอร์ 3-0 ตบเท้าเข้ารอบต่อไปในฐานะแชมป์กลุ่ม B ต้องไปพบกับ เซเนกัล ที่เข้ารอบมาด้วยตำแหน่งรองแชมป์กลุ่ม A

6.ทีมชาติฝรั่งเศส
ทัพตราไก่ ทีมแชมป์เก่าถูกยกให้เป็นเต็ง 2 ซึ่งดูจากขุมกำลังก็ถือว่ายังแข็งแกร่งและมีผู้เล่นตัวหลักจากชุดคว้าแชมป์โลกครั้งที่แล้วเยอะมากแนวรุกมีทั้ง คาริม เบนเซม่า ที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องถอนตัวไปก่อนนัดประเดิมสนามไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็ยังมีแข้งตัวแบกตีดติดจรวดอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ และ อุสมาน เดมเบเล่ สองกองกลางจาก เรอัล มาดริด อย่าง คามาวิงก้า กับ ชูอาเมนี่ โดยรอบแบ่งกลุ่ม ฝรั่งเศส ประเดิมสนามด้วยการไล่ถล่ม ออสเตรเลีย 4-1 ตามด้วยเฉือนชนะ เดนมาร์ก 2-1 แม้จะปิดท้ายไม่สวยนักด้วยการพลาดท่าแพ้ต่อ ตูนิเซีย 0-1 จากขนแข้งสำรองลงสนามเหตุการันตีผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ตั้งแต่เกมที่ 2 สุดท้ายแล้วจบลงด้วยตำแหน่งแชมป์กลุ่ม D เข้ารอบไปพบกับ รองแชมป์กลุ่ม C อย่าง โปแลนด์ ของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และยังสามารถล้างอาถรรพ์แชมป์เก่ามักตกรอบแรกอย่างที่เคยประสบให้เห็นทั้ง สเปน และ เยอรมนี

7.ทีมชาติบราซิล
ทัพเซเลเซา เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก 5 สมัยซึ่งมากที่สุดเหนือทุกทีม ผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายในฐานะแชมป์คัดบอลโลกโซนอเมริกาใต้ ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมนี้เองทำให้ แซมบ้า ก้าวขึ้นมายึดหมายเลขหนึ่งของโลกแทนที่ เบลเยี่ยม ได้สำเร็จ โดยในรอบแบ่งกลุ่ม บราซิล เอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ และ เซอร์เบีย แม้จะพลาดท่าแพ้ต่อ แคเมอรูน ในเกมนัดสุดท้ายแต่ก็ยังเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม G เข้าไปพบกับรองแชมป์กลุ่ม H อย่าง เกาหลีใต้ ที่โกงความตายเข้ารอบมาได้แบบเหลือเชื่อ รอดูกันว่าสุดท้ายแล้ว บราซิล ชุดนี้ที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่างมากมายจะเดินทางไปถึงฝั่งฝันด้วยการมีดาวดวงที่ 6 บนหน้าอกได้หรือไม่